บล็อกเกอร์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเรียนการสอนวิชาอินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวันของ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และเพื่อให้ผู้ที่สนใจใส่ใจในเรื่องสุขภาพได้เข้าชมและนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันต่อไป

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีการดูแลสุขภาพ

สุขภาพ
สุขภาพ ดีคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา สุขภาพดีเป็นสิ่งพรหมลิขิตให้แต่ไม่ทั้งหมด หลายคนไขว่ขว้าหาสุขภาพดี ใช้เงินใช้ทองซื้อทำสปา เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ซื้ออาหารลดน้ำหนักมารับประทาน การมีสุขภาพที่ดีต้องอาศัยตัวเองดูแลสุขภาพ ให้เวลากับตัวเองเพียงวันละ 1 ชั่วโมงในการออกกำลังกาย อีก 7 ชั่วโมงในการนอนหลับ และรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ


ธรรมชาติ คงไม่ให้สุขภาพที่ดีแด่คนที่ชอบทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย แม้ว่าจะทราบแล้วว่าสิ่งนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ สุขภาพไม่สามารถซื้อด้วยเงินถึงแม้คุณจะรวยเป็นมหาเศรษฐีหากคุณไม่ดูแลตัว เองให้ดี เงินที่มีอยู่เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น
หลายท่านคิดว่าการ ออกกำลังกายเสียเวลา ท่านลองจิตนาการถึงภาระงานที่ท่านรับผิดชอบในแต่ละวันว่ามีมากน้อยเพียงใด หากท่านไม่ดูแลตัวเองและเกิดโชคร้ายท่านเป็นโรคอัมพาตหรือโรคหัวใจ ภาระที่ท่านว่ามากมายจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ภาระเหล่านั้นใครจะเป็นคนดูแล และหากโชคร้ายถึงขั้นช่วยตัวเองไม่ได้ ใครจะมาเป็นคนดูแลท่าน ท่านเพียงเสียเวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมง หรือท่านอาจจะใช้เวลาในการดูทีวีและออกกำลังกายไปด้วยกันซึ่งก็จะทำให้ท่าน มีสุขภาพที่ดีขึ้น
หลายท่านเชื่อว่า คนผอมเท่านั้นที่มีสุขภาพดี จึงทำการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารเป็นการใหญ่เพื่อให้น้ำหนักได้มาตรฐาน แต่การลดน้ำหนักอาจจะเป็นเรื่องลำบาก และการอดอาหารเป็นเวลานานๆอาจจะมีอันตรายต่อสุขภาพ จึงอยากให้ท่านผู้อ่านได้เปลี่ยนมุมมองใหม่
การมีสุขภาพที่ดีไม่ได้ หมายถึงน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแต่หมายถึงการที่เราดูแลตัวเองอย่าถูก ต้องตั้งแต่เรื่อง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การป้องกันโรค การลดหรือเลิกสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ ร่างกายเรากระปี้กระเปร่าพร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน เนื้อหาที่จะกล่าวจะเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพของท่าน
การปฏิบัติ ตามแนวทางไม่ได้ต้องการให้ท่านมีอายุยาวหมื่นๆปีแต่ต้องการให้ท่านมีสุขภาพ ที่แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย สามารถหลีกเลี่ยงโรคที่ป้องกันได้ อายุยืนยาวขึ้น การที่จะมีสุขภาพที่ดีต้องประกอบไปด้วยการดูแลดังต่อไปนี้
ปัจจุบัน คนไทยหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้นมีการเลือกรับประทานอาหาร มีการรณณรงค์เรื่องการสูบบุหรี การดื่มสุรา และการออกกำลังกาย จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าคนไทยและคนทั่วโลกมีอัตราการเสียชีวิตโรคหัวใจและ หลอดเลือดเพิ่มขึ้นมาก สาเหตุที่สำคัญเกิดจากความไม่สมดุลของการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย นอกจากนั้นยังทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน โรคอ้วนและโรคมะเร็งบางชนิด เมื่อท่านได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะ ทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดี สมาคมโภชนาการ สมาคมความดันโลหิตสูงได้ร่วมกันกำหนดแนวทางการรับประทานอาหารซึ่งไม่เน้น เฉพาะพลังงานอย่างเดียว แต่จะเน้นเรื่องสารอาหาร และการออกกำลังกาย หัวข้อที่กล่าวมีดังนี้
คำแนะนำสำหรับกลุ่มต่างๆ
อาหารที่รับประทานต้องมีพลังงานเพียงพอ และมีสารอาหารเพียงพอ
กลุ่มคนทั่วๆไป
รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบห้าหมู่โดยหลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัว [Saturated fat],Tranfatty acid น้ำตาล เกลือ และสุรา
ปริมาณพลังงานที่ได้รับไม่ควรเกินค่าที่กำหนด
กลุ่มคนต่างๆ
ผู้ที่สูงอายุมากกว่า 50 ปีควรจะได้รับวิตามิน B12 เสริม
หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีธาตุเหล็ก และอาหารที่มีวิตามินซีสูงเพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีกรดโฟลิก
ผู้สูงอายุที่มีผิวคล้ำหรือไม่ถูกแดดควรจะได้วิตามินดีเสริม
กลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน
คำแนะนำ
การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล
การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย
สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร
สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน
สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร
การจัดการเรื่องน้ำหนัก

ปัญหา เรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่ น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก
การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม)
การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย
คำแนะนำสำหรับคนอ้วนแต่ละกลุ่ม
การออกกำลังกาย
ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น
สำหรับ ผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด
ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น
ถ้า ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลาง หรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม
ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน
ส่ง เสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน
การออกกำลังสำหรับกลุ่มต่างๆ


เด็กและวัยรุ่นให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน
ใน คนท้องที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังปานกลางวันละ 30นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่จะเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์
ผู้สูงอายุต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอัตราการเสื่อมของอวัยวะ
ข้อเท็จจริงบางประการ
ปี 2002ร้อยละ 25 ของประกรของอเมริกาไม่ได้ออกกำลังกาย
ปี2003 ร้อยละ 38 ของประชากรวัยรุ่นใช้เวลาดูทีวีวันละ 3 ชั่วโมง
การออกกำลังกายชนิดหนักจะให้ผลดีต่อสุขถาพดีกว่าชนิดปานกลาง และใช้พลังงานมากว่า
การออกกำำลังกายจะทำให้การควบคุมอาหารทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราคนที่ออกกำลังกายสามารถรับประทานอาหารได้เพิ่มขึ้น
ต้องป้องกันร่างกายขาดน้ำโดยการดื่มอย่างเพียงพอ หรือดื่มขณะออกกำลังกาย หรือหลังการออกกำลังกาย
ให้มีการออกกำลังกายอย่างสมำ่เสมอ ลดการนอนหรือดูทีวีซึ่งจะทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี
เพื่อ ป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ให้ออกกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาที หรือกิจกรรมประจำวัน
หากออกกกำลังกายหนักเพิ่มขึ้น(ชนิดหนัก)ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ
หากต้องการควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางวันละ 60 นาทีทุกวัน
หากต้องการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่องต้องออกกำลังกายชนิดปานกลาง-หนักวันละ 60-90 นาที
คำแนะนำชนิดของอาหาร
รับประทานผักและผลไม้ให้มากโดยรับประทานน้ำผลไม้วันละ 2 แก้ว ผักวันละ 2 ถ้วย
ให้มีการรับประทานผักและผลไม้ที่หลากหลายสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา
ให้รับประทานธัญพืชวันละกำมือ เช่นถั่วต่าง เม็ดทานตะวัน เม็ดแตงโม
ให้รับประทานนมพร่องมันเนยหรือผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย
คำแนะนำอาหารสำหรับเด็ก
เด็กและวัยรุ่นต้องรับประทานธัญพืชบ่อยๆ เด็กอายุ 2-8ขวบควรจะดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 2 แก้ว เด็กมากกว่า 9 ขวบควรดื่ม 3 แก้ว
กลุ่มอาหาร
เลือก รับประทานผักและผลไม้อย่างเพียงพอโดยพลังงานที่ได้รับต้องไม่เกินเกณฑ์ ตัวอย่างคนที่ได้รับพลังงาน 2000 กิโลแคลรอรีจะรับผลไม้ได้ไม่เกิน ผัก 21/2ถ้วยหรือนำผลไม้ไม่เกิน 2 ถ้วย
ให้เลือกผักและผลไม้ทั้ง 5 กลุ่มสับไปมา
ให้รับประทานส่วนประกอบของธัญพืช หรือเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าว อย่างน้อยวันละ 3 ส่วน
ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย
กลุ่มผักและผลไม้
ผลและผลไม้เป็นแหล่งให้สารอาหารแก่ร่างกายเป็นจำนวนมากตามตารางข้างล่าง
การรับประทานผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารอย่างเพียงพอ
ผล และผลไม้แต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางอาหารแตกต่างกันไป ดังนั้นต้องสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละอาทิตย์ แบ่งผักออกเป็น 5 ชนิดและปริมาณที่ควรจะรับประทานในแต่ละสัปดาห์
ผักใบเขียว 3ถ้วยต่อสัปดาห์
ผักใบเหลือง 2 ถ้วยต่อสัปดาห์
ถั่ว 3 ถั่วต่อสัปดาห์
ผักพวกใหแป้ง(ผักพวกหัว) 3 ถั่วต่อสัปดาห์
ผักอื่นๆ 6 1/2 ต่อสัปดาห์
คำแนะนำสำหรับอาหารไขมัน
รับ ประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว saturated fat ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ได้รับหรือไม่เกินวันละ 300 กรัมของคลอเลสสเตอรอลล์ และหลีกเลี่ยงไขมันชนิด trans fatty acid
ปริมาณพลังงานที่ได้จากไขมันต้องไม่เกิน 30%ของปริมาณทั้งหมด และควรจะเป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวpolyunsaturated
and monounsaturated fatty acids จากพืชและถั่ว
เมื่อจะรับประทานเนื้อสัตว์ต้องเลือกเนื้อที่มีไขมันต่ำ เช่นเนื้อสันใน หรือแกะเอาหนังและไขมันทิ้ง
ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans fatty
สำหรับ เด็กเล็กอายุ 2-3 ขวบให้รับประทานไขมันได้ถึงร้อยละ 30-35 สำหรับเด็กอายุ 4-18 ปีให้รับประทานอาหารไขมันได้ถึงร้อยละ 25-35 และแหล่งไขมันควรจะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว polyunsaturated and monounsaturated
fatty acids,เช่น ปลา ถั่ว และน้ำมันพืช

คำแนะนำสำหรับอาหารจำพวกแป้ง
รับประทานอาหารพวกแป้งที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ผักและผลไม้
การปรุงอาหารไม่ไส่เกลือหรือน้ำตาลมากเกินไป
ป้องกันฟันผุโดยการลดน้ำตาลและเครื่องดื่ม
การรับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ
สำหรับคนทั่วไปให้รับประทานอาหารที่มีเกลือน้อยกว่า 2300 มิลิกรัม(ประมาณ 1 ช้อนชา)
เวลาปรุงอาหารให้ใส่เกลือให้น้อยที่สุด
สำหรับ คนที่เสี่ยงต่อโรคความดํนโลหิตสูง(คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นความดันโลหิต สูง อ้วน ผิวดำ โรคเบาหวาน)ต้องรับประทานเกลือเพียง 1500มิลิกรัม และรับประทานเกลือโปแตสเซียมวันละ 4700 มิลิกรัม 

  ที่มา  http://blog.eduzones.com/chotip22/33078

การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัย

 
          คน ทุกวัยสามารถออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาได้ ไม่มีข้อห้ามแม้เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ แต่มีข้อแตกต่างกัน คือ ชนิดและความหนักเบาของกีฬาที่เหมาะสมกับวัย แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและการป้องกันการบาดเจ็บด้วย


          ออกกำลังกายตามวัย

          ในเด็กเล็ก ที่มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบ ความ ทนทานของร่างกายมีน้อย เช่นเดียวกับการสั่งงานทางระบบประสาท ทำให้การประสานงานของกล้ามเนื้อเป็นไปได้ไม่ดี จึงควรให้เล่นกีฬาประเภทง่ายๆ หรือเบาๆ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากนัก ที่ดีที่สุด คือ การวิ่ง ไม่ควรบังคับเด็ก เพราะจะทำให้เด็กเบื่อ และอาจเกลียดการออกกำลังกายตลอดไป และต้องชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายด้วย นอกจากนี้ การเล่นเกม ว่ายน้ำ และการเล่นที่ฝึกความคล่องแคล่ว และความชำนาญแบบง่ายๆ เช่น ปีน ไต่ ก็เหมาะกับเด็กวัยนี้เช่นกัน

          ปัจจุบัน มีความเข้าใจผิดที่ชักจูงเด็กๆ ในวัยนี้ออกมาวิ่งเพื่อสุขภาพกับพ่อแม่ และพี่ๆ แม้ว่าจะมีเด็กในวัยนี้สามารถวิ่งมาราธอนได้ก็ตาม แต่ส่วนมากจะเกิดการบาดเจ็บถึงเข้าโรงพยาบาลก็มีบ่อยๆ การออกกำลังกายลักษณะวิ่ง หรือกระโดดของเด็กวัยนี้ อาจทำให้มีการเจ็บปวดที่ข้อสะโพกทำให้ข้อสะโพกเสียและเกิดความพิการขึ้นได้ โดยเฉพาะเด็กในวัย 7-8 ขวบ

          ในเด็กโต อายุ 10-14 ปี เป็นช่วงที่การประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อและประสาทดีขึ้น สามารถเล่นกีฬาที่ใช้อุปกรณ์ได้ เช่น ฟุตบอล แชร์บอล วอลเลย์บอล และที่เป็นข้อห้ามอย่างยิ่ง คือ การชกมวย กีฬาประเภทอดทน เช่น วิ่งระยะไกลนั้น การวิ่งมากๆ จะทำให้มีการแยกของกระดูกปลายส้นเท้าตรงส่วนที่กำลังมีการเจริญเติบโต เกิดการบาดเจ็บและปูดนูนขึ้น ถ้าเป็นมากๆ จะทำให้มีการหลุดของกระดูก ซึ่งเป็นที่เกาะของเอ็นร้อยหวายบริเวณส้นเท้าได้

          ในวัยรุ่น อายุ 14-17 ปี เป็นช่วงที่หนุ่มสาวกำลังเข้าสู่วัยที่สมบูรณ์เต็มที่ จึงมีความแตกต่างอย่างมากสำหรับหญิงและชาย โดยผู้ชายจะเล่นกีฬาได้แทบทุกชนิด ส่วนผู้หญิงนั้นมักจะเน้นกีฬาประเภทที่ไม่หนัก แต่ทำให้ร่างกายแข็งแรง และเสริมสร้างรูปร่างทรวดทรง เช่น ว่ายน้ำ ยิมนาสติก และวอลเลย์บอล การใช้งานมากเกินไปทั้งหญิงและชายในวัยนี้

โดย เฉพาะการวิ่ง จะทำให้มีการอักเสบหรือแยกตัวของปุ่มกระดูกหน้าแข้งตอนบน ทำให้กระดูกปูดนูนขึ้น และถ้าเป็นมากๆ จะมีการแยกตัวและมีการหลุดของชิ้นกระดูกบริเวณนั้นได้ มีอาการเจ็บเสียวอยู่ตลอดเวลาเมื่อวิ่ง หรือเดินเร็ว บางครั้งต้องรักษาโดยการผ่าตัดเอาออก และที่พ่อแม่ต้องไม่ลืม คือ ควรดูแลเรื่องโภชนาการและควรตรวจดูว่าลูกๆ ไม่ได้ออกกำลังกายหักโหมจนเกินไป

          ในผู้ใหญ่-ผู้สูงอายุ ในผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่มักมีข้ออ้างว่าไม่มีเวลาว่าง แต่ร่างกายมีความต้องการที่จะให้ดูแลรักษาและฟื้นฟูสภาพร่างกายที่กำลัง เสื่อมถอยลง การออกกำลังกายจึงมีความจำเป็นมาก ซึ่งมีหลายรูปแบบสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับร่าง กาย เวลา และสถานที่

นอก จากนี้ ยังมีการศึกษาวิจัยพบว่า หลังจากอายุ 30 ปี ไปแล้ว คนเราจะมีพลังลดลงร้อยละ 1 ทุกๆ ปี ซึ่งหมายความว่า เมื่อถึงอายุ 60 ปี เราจะมีพลังลดลงน้อยลงไปถึงร้อยละ 30 จากที่เคยมีเมื่ออายุ 30 ปี สำหรับประโยชน์ที่จะได้อย่างแน่นอนจากการออกกำลังกาย ก็คือ สามารถช่วยชะลอความเสื่อมที่จะเกิดตามธรรมชาติประมาณ 1% ทุกๆ ปี หลังจากอายุ 30 ปี ไปแล้วให้เสื่อมช้าลงได้


          ออกกำลังกายอย่างไรดี

          ควรออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น ขา แขน ลำตัว, ออก กำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 20-30 นาที ถ้าฝึกเบาๆ ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมง เช่น ว่ายน้ำ ถีบจักรยานอยู่กับที่ เดินเร็ว และออกกำลังกายให้มีอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นโดยประมาณ 90-110 ครั้งต่อนาที

          นอก จากนี้ ก่อนและหลังการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาทุกครั้ง ควรมีการยืดหยุ่นกล้ามเนื้อในท่าพื้นฐานซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากในผู้สูง อายุ ประมาณ 5-6 นาที แล้วจึงออกกำลังกายอย่างช้าๆ เช่น การรำมวยจีน ไทเก๊ก รำไม้พลอง หรือโยคะ อย่างน้อยวันละ 30-40 นาที


          ข้อควรระวัง

          ไม่ควรออกกำลังกายที่ต้องออกแรงเกร็ง หรือเบ่ง เช่น การยกน้ำหนัก กระโดด หรือวิ่งด้วยความเร็วสูง, ไม่ควรออกกำลังกายที่ต้องออกแรงกระแทก โดยเฉพาะที่ข้อเข่า เช่น การกระโดด การขึ้นลงบันไดสูงมากๆ หรือการนั่งยองๆ, ไม่ควรบริหารร่างกายในท่าที่ใช้ความเร็วสูง หรือเปลี่ยนทิศทางในการฝึกอย่างฉับพลัน หรือเดินบนทางลาด ทางลื่น,

ที่ สำคัญ ไม่ควรออกกำลังกายในที่ที่มีอากาศร้อน อบอ้าว หรือแดดจ้า จะทำให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่ได้มาก เพราะการระบายความร้อนและไตมีประสิทธิภาพการทำงานลดลง, ไม่ ควรออกกำลังกายขณะร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียหรือไม่สบาย นอกจากนี้ หากวันไหนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย ควรเพิ่มการเคลื่อนไหวของร่างกายอยู่บ่อยๆ ด้วย

          แม้การออกกำลังกายจะดีสำหรับทุกวัย แต่ในวัยผู้สูงอายุ ต้องระวังเรื่องของอุบัติเหตุ เพราะร่างกายของผู้สูงอายุจะเสื่อมถอยลง


ที่มา  http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/16623

สารอาหารที่ร่างกายต้องการ


 เด็กที่มีอายุระหว่าง 12-13 ปี เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงของร่ายกาย หลายอย่างเพื่อจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ถ้าเด็กวัยรุ่นได้รับอาหารที่ถูกหลักโภชนาการใน ปริมาณเพียงพอ น้ำหนักอาจจะเพิ่มขึ้นถึงปีละ 5-10 กก. และความสูงก็อาจเพิ่ม ขึ้นถึงปีละ 5-10 ซม. เด็กที่มีภาวะโภชนาการดีอาจเข้าสู่วัยรุ่นได้เร็วกว่าปกติ 1-2 ปี ดังนั้นวัยรุ่นจึงควรได้รับสารอาหารทุกประเภท เพราะร่างกายต้องใช้สารอาหาร เหล่านั้น เพื่อการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ อาหารที่เรารับประทานนั้นประกอบด้วยสารอาหารหลายประเภท ซึ่งจะนำ ไปใช้ประโยชน์ตามส่วนต่างๆของร่างกาย ในทางโภชนาการได้จัดแบ่งสารอาหารออกเป็น 6 ประเภทดังนี้
โปรตีน (Protien)
 ร่างกายต้องการโปรตีนเพื่อการเจริญเติบโต สารโปรตีน จึงมีความสำคัญต่อร่างกายมากที่สุด ทั้งนี้เพราะเลือด กล้ามเนื้อ ผิวหนัง เล็บ และอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ล้วนมีโปรตีนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ
 ประโยชน์ของโปรตีนที่มีต่อร่างกาย
          1.สร้างความเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ให้แก่ร่างกาย
2.ให้พลังงานแก่ร่างกาย ในกรณีที่ร่างกายขาดพลังงาน จากคาร์โบไฮเดรตและไขมัน โดยโปรตีน 1 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 4 แคลอรี่
3.สร้างน้ำย่อย ฮอร์โมน น้ำนม และสารภูมิคุ้มกันโรคให้แก่ร่างกาย
4.ช่วยรักษาความสมดุลของน้ำในหลอดเลือด เนื้อเยื่อ และเซลล์ ถ้าร่างกายขาดโปรตีนนานๆ จะทำให้เลือดใสจาง น้ำจากเลือดจะถูดดูดซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดอาการบวม คนขาดโปรตีนจึงมีอาการบวมตามตัว
5.ช่วยรักษาความสมดุลของกรดและด่างของร่างกาย
 คาร์โบไฮเดรต (Carbohyerate)
    คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่พบมากในอาหารประเภท ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน และพืชผักผลไม้ที่มีรสหวาน
ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรตที่มีต่อร่างกาย
1.ให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงานประมาณ 4 แคลอรี่ และเป็นพลังงานที่จะถูกร่างกายนำมาใช้ก่อนสารอาหารไขมันและโปรตีนตามลำดับ
2.ช่วยให้ร่างกายนำสารอาหารโปรตีนไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ กล่าวคือ ถ้าร่างกายได้ พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตมาใช้ไม่เพียงพอ ร่างกายจะนำเอาโปรตีนมาสลายให้เกิดพลังงาน แทนร่างกายก็จะผอมลงได้ 
3.ใช้เป็นพลังงานสำรองของร่างกาย ถ้าร่างกายรับประทานพวกตาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ส่วนเกินนี้จะถูกปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไว้ตามเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย และจะถูกนำมาใช้เมื่อร่างกาย ขาดแคลนพลังงาน
4.เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของตับ ซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายในการขจัดสารพิษ ในเลือด  
 ไขมัน (Fat)
 ไขมันป็นสารอาหารที่คนทั่วไปมักไม่ขาด ส่วนมากมีปัญหาจากการรับไว้ มากเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา  
 ประโยชน์ของไขมันที่มีต่อร่างกาย  
1.ให้พลังงานแก่ร่างกายมากกว่าสารอาหารชนิดอื่น ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานประมาณ 9 แคลอรี่ ซึ่งนับว่ามากที่สุดในบรรดาสารอาหารทั้งหลาย ไขมันจึงเป็นสารอาหารที่ ให้พลังงานแก่ร่างกายเป็นส่วนใหญ่
2.ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เพราะไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังจะช่วยป้องกันมิให้ความร้อนออกจากร่าง กายและช่วยบรรเทาความหนาวเย็นจากภายนอก
3.ช่วยป้องกันการกระทบกระเทือนของอวัยวะภายในของร่างกาย และเปรียบเสมือนนวมที่บุอยู่ทั่วร่างกาย
4.ละลายวิตามิน a,d,e,k เพื่อให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย
5.เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่ของอวัยวะบางอย่างของร่างกาย เช่น เนื้อสมอง เส้นประสาท เป็นต้น  
 วิตามิน (Vitamin)
วิตามินเป็นสารอาหารที่ไมได้ให้พลังงานหรือสร้างเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยตรง ร่างกายจึงต้องการวิตามินในปริมาณน้อย แต่มีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างยิ่ง
 ประโยชน์ของวิตามินที่มีต่อร่างกาย
ประโยชน์ของวิตามินเอ
1.ช่วยบำรุงสายตา และป้องกันโรคตาฟางกลางคืน ซึ่งเป็น อาการที่นัยน์ตาไม่สามารถปรับสายตาให้มองเห็นในที่มืดได้
2.ช่งยบำรุงผิวหนังและเยื่อบุอวัยวะต่างๆ เช่นนัยน์ตา ปาก หลอดลม หลอดอาหาร และทางเดินปัสสาวะให้เกิดความชุ่มช้น และ ป้องกันมิให้ติดเชื้อได้ง่าย
3.วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย เนื่องจาก วิตามินเอช่วยสงเสริมการทำงานของแคลเซียม
4.วิตามินเอช่วยสร้างควาต้านทานโรคทั่วไปให้แก่ร่างกาย เมื่อ ร่างกายได้รับวิตามินเอพอเหมาะแก่ความต้องการ
ประโยชน์ของวิตามินดี
1.ช่วยทำให้ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสดูดซึมผ่านผนังบางๆ ของเซลล์ได้ดีขึ้น
2.วิตามินดีช่วยทำให้ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสรวมตัวกันเพื่อ สร้างกระดูกและฟันให้เจริญเติบโตแข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกอ่อน หาก ขาดวิตามินดีจะทำให้เป็นโรคกระดูกอ่อน ขาโก่งงอ ฟันผุง่ายและภูมิต้านทานต่ำ
ประโยชน์ของวิตามินอี
1.การเป็นหมันในบางราย
2.อาการผิดปกติของสตรีในระหว่างมีประจำเดือน
3.การแท้งโดยไม่ทราบสาเหตุ
4.เลือดจากบางชนิดในทารก
5.ช่วยป้องกันไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย
ประโยชน์ของวิตามินเค
1.วิตามินเคช่วยให้เลือดแข็งตัว
2.ทำให้เลือดหยุดไหลได้เร็ว เมื่อเกิดบาดแผล
 เกลือแร่
 เกลือแร่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมาก แม้เกลือแร่จะไม่ใช่สาร อาหารที่ให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกายก็ตาม
ประโยชน์ของเกลือแร่ชนิดต่างๆ
 แคลเซียม
1.เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟัน หากร่างกายขาดแคลเซียม จะทำให้โครงร่างของร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่ และเป็นโรคกระดูกอ่อน
2.ช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจ กล้ามเนื้อ และระบบประสาท
3.ช่วยทำให้เลือดแข็งตัว และทำให้เลือดหยุดเมื่อร่างกายกิดบาดแผล
ฟอสฟอรัส
1.ทำงานร่วมกับแคลเซียมในการสร้างกระดูกและฟัน
2.ควบคุสการปล่อยพลังงานในการเผาไหม้ของคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน
3.ควบคุมสมดุลของความเป็นกรดและด่างในเลือด
4.เป็นส่วนประกอบของสมองและไขสันหลัง
เหล็ก
1.เป้นว่วนประกอบสำคัญของ "ฮีโมโกลบิน" ในเม็ดเลือดแดง หากร่างกายขาดธาตุเหล้ก จะทำให้เป็นโรคโลหิตจาง ซึ่งมีอาการซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
2.เหล็กยังเป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อเยื่อต่างๆ โดยทำหน้าที่ขับออกซิเจนที่เลือดนำมาไว้ใช้
ไอโอดีน
ธาตุไอโอดีนมีประโยชน์ต่อร่างกายคือ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมธัยรอยด์ ฮอร์โมนนี้ทำหน้าที่ควบคุมให้ร่างกายเจริญเติบโตตามปกติ ถ้าร่างกายขาดไอโอดีนจะทำให้ต่อมธัยรอยด์โตขึ้น ซึ่งเรียกว่า "โรคคอพอก" ดังนั้น ไอโอดีนจึงมีประโยชน์ในการป้องกันโรคคอพอก และไม่ทำให้ร่างกายเตี้ย แคระแกร็น
โซเดียม
1.ข่วยทำให้น้ำในเนื้อเยื่อและหลอดเลือดมีความสมดุล
2.ช่วยทำให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานปกติ โดยเฉพาะการขับถ่ายของเสียทางไตและผิวหนัง
 น้ำ (Wather)
    น้ำจัดเป็นสารอาหารประเภทหนึ่ง ซึ่งมีความจำเป็นต่อการดำดงชีวิต อย่างมาก เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 60 หรือสองในสามส่วน ของน้ำหนักทั้งหมดของร่างกาย หากร่างกาขาดน้ำร้อยละ 20 ของน้ำทั้งหมดจะเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
 ประโยชน์ของน้ำที่มีต่อร่างกาย 

1.ช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดชื่น
2.เป็นส่วนปรกอบของทุกเซลล์ในร่างกาย
3.ช่วยในการย่อยและดูดซึมอาหารเข้าสู่ร่างกาย
4.ช่วยนำอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
5.ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายเช่น เหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ
6.ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ เช่น เมื่อร่างกายมีความร้อนสูง ร่างกายจะขับ เหงื่อเพือระบายความร้อนออกจากร่างกาย
7.ช่วยหล่อเลี้ยงให้อวัยวะต่างๆเคลื่อนไหวได้ดีและป้องกันการกระทบกระแทก เช่น น้ำที่หล่อเลี้ยง ในลูกตา ช่องหัวใจ ช่องปอด ไขข้อต่างๆ เป็นต้น


   ที่มา  http://www.hlifespirulina.com/nutrition.htm

สุดยอดผักผลไม้เพื่อสุขภาพ

 ผัก ผลไม้ แอปเปิ้ล ส้ม ฝรั่ง อาหาร


สุดยอด!!! ผักผลไม้เพื่อสุขภาพ
เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุก วัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

 
ลูกพรุน (Prunes)

         ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัม และมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง ดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด

 
ถั่ว

           ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่ง ถั่วมีอยู่แล้วมากมาย)ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและ อิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก

แอปเปิ้ล ผลไม้


  แอปเปิ้ล            มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ เพคติน แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว เพคตินนี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอล หากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้ง และน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที

 บรอคโคลี่           เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัว ซีลีเนียมนี้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

 
กล้วยไข่            กล้วยทุกชนิด ดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ

 
ฝรั่ง
            ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพ ผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์ นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของ คุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหัน มารับประทานฝรั่งเป็นประจำ

ส้ม แอปเปิ้ล ผลไม้ 
  ส้ม
           แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคา ที่ถูกกว่าด้วย
         ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิด ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น สำหรับคุณๆ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้ แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน 

   ที่มา  http://women.mthai.com/health/19417.html

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพ

   

  ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและ กระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
   ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
 


การดูแลสุขภาพจิต

สุขภาพกายและสุขภาพใจเป็นของคู่กัน แม้ว่าเราจะมีสุขภาพร่างกายที่ดี แต่หากสุขภาพจิตใจย่ำแย่ ไม่ผ่องใส ก็จะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมได้ การจะมีสุขภาพที่ดีโดยสมบูรณ์นั้น จึงจำเป็นต้องรู้จักวิธีดูแลสุขภาพจิตใจควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพร่างกาย ด้วย เราลองมาดูวิธีดูแลสุขภาพจิตกันดีกว่า
   hm1
   การดูแลสุขภาพจิต
    เทคนิคในการดูแลสุขภาพจิต เพื่อให้จิตใจผ่องแผ้ว เบิกบานนั้นมีอยู่มากมายหลายวิธี แต่ละวิธีก็เหมาะกับแต่ละคนแตกต่างกันไป วิธีหนึ่งอาจใช้กับคนหนึ่งได้ผล แต่อาจใช้กับอีกคนไม่ได้ผลเลยก็มี อยู่ที่เราจะต้องเลือกใช้วิธีที่เหมาะกับตนเองให้มากที่สุด

   ในที่นี้จะขอแนะนำเทคนิคบางประการในการดูแลสุขภาพจิต
   hm5
   1.อย่าหัดเป็นคนช่างคิด

    การเป็นคนฉลาดและรู้จักคิดตรึกตรองในสิ่งต่างๆเป็นเรื่องดี แต่ถ้าคิดมากเกินไป ไม่ว่าอะไรก็เก็บมาคิดหมกมุ่นไปหมดย่อมเกิดผลเสีย อันจะนำไปสู่ความเครียดเปล่าๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยนอกจากเกิดความทุกข์ และสุขภาพจิตเสียแก่เร็ว แต่ไม่ใช่ทำอะไรโดยไม่คิดเสียทีเดียว

   2.ไม่ตั้งความหวังไว้สูงๆ
    เวลาทำอะไรหากตั้งความหวังไว้สูงเกินไป เช่น ทำอะไรต้องดี ทำอะไรต้องสำเร็จ ทำอะไรต้องได้ดั่งใจเสมอ เช่นนี้ไม่ดีต่อตนเอง เพราะทำให้สุขภาพจิตเสื่อมเปล่าๆ ควรตั้งความหวังไว้แต่ไม่ใช่จริงจังนัก หวังโดยมีสติดูสภาพความเป็นไปได้ เช่น ตั้งใจมีเงินพอใช้สบายๆ อยู่อย่างพอเพียง ตั้งใจเรียนให้จบปริญญาถ้าทำได้ ไม่ใช่ตั้งใจเป็นนางสาวไทย เป็นพระเอกหนังทั้งๆที่หน้าตาอย่างกับปิศาจ อย่างนี้เรียกว่าตั้งความหวังโดยขาดสติ หากไม่ตั้งความหวังเลยชีวิตก็จะล่องลอยไร้เป้าหมาย นั่นก็รังแต่จะทำให้ทุกข์ใจอีก แต่จะทุกข์ตอนอายุมากเพราะเริ่มลำบากยากจน ดังนั้น ทุกคนควรจะมีความหวังในการดำรงชีวิต แต่อย่าหวังอะไรจนเกินพอดี เพราะจะทำให้ทุกข์ใจได้

   3.มองโลกในแง่ดีเสมอ
    ในชีวิตคนเรา เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องประสบพบเจอกับสิ่งร้ายๆหรือมีความผิดหวังเข้ามาในชีวิตบ้าง เช่น ถูกเอาเปรียบ รังแก กลั่นแกล้ง ก็ให้คิดเสียว่าเป็นธรรมดาของสัตว์โลก ช่างมันเถอะ เราไม่ทุกข์ใจก็พอ เพราะถ้าเราทุกข์ใจเรื่องยิ่งบานปลาย ถูกรังแกยิ่งทุกข์ใจเข้าไปอีก หัดมองในสิ่งดีของคนอื่นมากๆจะทำให้ชีวิตสดใส เงินไม่พอใช้ก็ลองมองว่า ดีเหมือนกันที่เราจะได้เรียนรู้รสชาติของความยากจน พยายามมองทุกสิ่งในโลกนี้ว่าเป็นเรื่องปกติเสียก็สิ้นเรื่อง
    hm3
   4.หัวเราะบ่อยๆ
    เป็นจริงอย่างที่ว่าการหัวเราะคือยาวิเศษ เพราะช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้จิตใจสดชื่นขึ้น ลองคุยเรื่องขำขัน ดูตลก หาการ์ตูนขำขันมาอ่านบ้าง ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้หัวเราะ การหัวเราะช่วยบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า ช่วยให้แก่ช้า สดใส หลายๆคนเข้าใจผิด มักคิดว่าการหัวเราะทำให้เกิดรอยย่นตรงนั้นตรงนี้บนใบหน้า ยิ้มกว้างก็กลัวย่น ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ทุกวันนี้คนหัวเราะง่ายจะลดลงเรื่อยๆเพราะสภาพแวดล้อมไม่ดีมีมากขึ้น
   hm4
   5.ฝึกนั่งสมาธิ

    เชื่อหรือไม่ว่าการนั่งสมาธิมีประโยชน์มากต่อสุขภาพจิต การนั่งสมาธิคือการฝึกจิตวิธีหนึ่ง หมายถึงการนั่งทำใจให้ว่างเปล่า เพื่อเป็นการช่วยเสริมสุขภาพจิตและผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ การนั่งสมาธิไม่ได้จำกัดเฉพาะในกลุ่มพุทธศาสนิกชนเท่านั้น เพราะไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนา แต่เป็นวิธีปฏิบัติตามปกติที่สามารถช่วยทำให้จิตใจสงบนิ่ง จึงสามารถทำได้ทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม วันหนึ่งควรนั่งสมาธิประมาณ 10-30 นาที
การดูแลสุขภาพวัยรุ่น
  
การดูแลเด็กวัยรุ่น วัยรุ่น เป็นวัยที่เชื่อมต่อระหว่างวัยเด็ก และวัยผู้ใหญ่ ถือเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตที่สำคัญ เด็กวัยรุ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งทางร่างกาย และจิตใจโดยได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนเพศ ซึ่งโดยทั่วไปพบว่า น้ำหนัก และส่วนสูงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ววัยรุ่นหญิง จะมีหน้าอกขยายใหญ่ขึ้น เริ่มมีขนบริเวณรักแร้ และหัวเหน่า และเริ่มประจำเดือน ส่วนวัยรุ่นชาย จะมีลูกอัณฑะใหญ่ขึ้น เริ่มมีขนเช่นกัน มีเสียงแตก และมีการหลั่งของอสุจิ
การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ พบว่ามีความสำคัญมาก เด็กวัยนี้จะมีความคิดค่อนข้างอิสระ ต้องการเป็นตัวของตัวเอง พยายามสร้างเอกลักษณ์ของตนเอง อยากให้เพื่อนยอมรับตน และต้องการเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อน เริ่มมองบทบาทของตนเองที่แยกออกจากครอบครัวมากขึ้น เริ่มไม่ยอมรับความเห็นของพ่อแม่ ต้องการความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกันอารมณ์จะยิงสับสน วู่วาม ขึ้นๆ ลง ทำให้โอกาสที่จะขัดแย้งกับพ่อแม่มีมากขึ้น บางครั้งรุนแรงจนถึงขึ้นหนีออกจากบ้าน หันไปหายาเสพติด หรือเกิดอาการซึมเศร้าจนคิดอยากฆ่าตัวตายได้
กลุ่มเด็กวัยรุ่น
เด็กวัยรุ่น (Adolescents) หมายถึงกลุ่มเด็กในช่วงอายุ 11-21 ปี บางสถาบันทางการแพทย์ให้กลุ่มวัยรุ่นมีช่วงอายุ 11-24 ปี เนื่องจากในปัจจุบันระยะเวลาของการศึกษามีความจำเป็นและต้องใช้ระยะเวลามาก ขึ้น ทำให้ความพร้อมที่จะมีครอบครัว ความรับผิดชอบเป็นตัวของตัวเอง มีระยะเวลายาวนานออกไปกว่าจะเข้าไปเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว
กลุ่มเด็กวัยรุ่นแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
  1. กลุ่มวัยรุ่นช่วงต้น (Early adolescents) ช่วงอายุ 11-14 ปี
  2. กลุ่มวัยรุ่นช่วงกลาง (Middle adolescents) ช่วงอายุ 15-17 ปี
  3. กลุ่มวัยรุ่นช่วงปลาย (Late adolescents) ช่วงอายุ 18-21 ปี หรือ 24 ปี
การแบ่งดังกล่าวข้างต้นเป็นการ แบ่งโดยใช้ช่วงอายุเป็นตัวกำหนดจัดกลุ่ม เนื่องจากในแต่ละช่วงก็มีลักษณะการเจริญเติบโต การพัฒนาการทางด้านอารมณ์และสังคมที่แตกต่างกันไป แต่ในความเป็นจริง ในปัจจุบันจะพบว่า เด็กเข้าสู่วัยรุ่นเร็วขึ้นจะเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย เด็กเติบโตเป็นหนุ่มสาวเร็วขึ้น โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง การมีหน้าอก การมีประจำเดือน จะเห็นว่าเด็กวัยรุ่นในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเจริญเติบโตทาง ด้านร่างกายเข้าสู่วัยหนุ่มสาวแล้ว แต่พัฒนาการทางด้านอารมณ์ สังคม ความคิด ไม่เร็วตามไปด้วย จึงเป็นข้อเสียของเด็กวัยรุ่น แต่สังคมภายนอกคาดหวังว่าเด็กที่โตแล้วเหมือนผู้ใหญ่น่าจะมีความคิด ความรับผิดชอบ มีพฤติกรรมหลายๆ อย่างเป็นแบบผู้ใหญ่ ในความเป็นจริงเด็กโตแต่ตัวเท่านั้น ยังต้องการการดูแล เอาใจใส่ คำแนะนำ การเรียนรู้ทักษะประสบการณ์ในชีวิตต่างๆ อีกหลายอย่างเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งบิดามารดาเป็นบุคคลที่มีบทบาท และมีความสำคัญมากที่สุด ขณะเดียวกันทุกคนในสังคม สิ่งแวดล้อมต่างๆ และบุคลากรทางด้านการแพทย์ รวมทั้งแพทย์ที่จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลเด็กวัยรุ่นให้มากขึ้น
องค์ประกอบสำคัญ
การดูแลวัยรุ่นอย่างเหมาะสมมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 อย่างด้วยกัน คือ
  1. ครอบครัว ควรมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น โดยผู้ปกครองควรเป็นแบบอย่างที่ดี และเป็นที่ปรึกษาให้แก่เด็กทุกเรื่อง รวมทั้งเป็นผู้สร้างความรู้สึกมีคุณค่าให้กับลูก เพื่อทำให้ลูกเกิดความมั่นใจในตนเอง และเป็นปัจจัยที่จะเสริมทักษะในการปฏิเสธ เมื่อมีแรงผลักดันจากสังคม เพื่อน ให้ทำในสิ่งที่อยู่นอกเหนือจริยธรรมของพ่อ และครอบครัว
  2. โรงเรียน เมื่อเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะเริ่มคบเพื่อนมากขึ้น และเริ่มสนใจเพศตรงข้าม ต้องการสร้างพฤติกรรมที่โดดเด่น ดังนั้น ครูควรเข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้ และสั่งสอนให้เด็กมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เพื่อเข้าสู่วัยรุ่น สอนเพศศึกษาให้เด็กทราบถึงผลของการขาดความยับยั้งชั่งใจ เช่น การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งสร้างบรรยากาศที่โน้มน้าวให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์
  3. เพื่อน เด็กวัยรุ่นมักชอบทำในสิ่งที่คล้ายๆ กัน ดังนั้นควรส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยอาจมีการจัดกิจกรรมให้หลากหลายมากขึ้น วัยรุ่นเป็นวัยสำคัญของการก้าวไปสู่การเป็นไปผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต หากถูกละเลยจากครอบครัวและคนใกล้ชิด อาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ไม่พึงประสงค์จนกลายเป็นปัญหาในปัจจุบันได้
  4. นโยบายรัฐบาล รัฐควรสนับสนุนให้เด็กที่มีความสนใจและส่งเสริมการศึกษาในทุกๆ ด้านทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดให้ทั่วถึง มีบริการทางการศึกษาที่ย่อมเยาและเข้าถึงได้ง่าย เน้นสื่อที่ให้ประโยชน์ สร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอิทธิพลของตะวันตก และสื่อต่างๆ ทำให้วัยรุ่นไทยถูกชักจูงได้ง่าย และมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนในครอบครัวและสังคมในการดูแลและเข้าใจ พฤติกรรมของวัยรุ่นอย่างถูกต้องและใกล้ชิด
ปัญหาที่พบบ่อยในวัยรุ่น
  1. ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพกายที่พบ บ่อยๆ และก่อให้เกิดความวิตกกังวลแก่เด็กวัยรุ่น ได้แก่ การเป็นสิว การมีกลิ่นตัว และโรคผิวหนัง ความอ้วน ความผอม ความผิดปกติต่างๆ ทางนรีเวชในวัยรุ่นหญิง เช่น ตกขาว การปวดประจำเดือน การมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ การมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ติดยา อุบัติเหตุและฆ่าตัวตาย
  2. ปัญหาเกี่ยวกับจิตใจ มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การมีอารมณ์ทางเพศและความขัดแย้งในค่านิยมของสังคม ทำให้มีเด็กมีลักษณะอารมณ์ต่างๆ ออกมา เหตุการณ์ที่สำคัญที่ทำให้วัยรุ่นเกิดปัญหาทางจิตใจ อารมณ์ และสังคม ได้แก่ การมีวุฒิภาวะทางเพศ การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะเพศ ทำให้วัยรุ่นที่ไม่ได้รับการเตรียมตัว เกิดความวิตกกังวล อาจรู้สึกเจ็บปวดทางจิตใจ เมื่อคิดว่าตนเองไม่เหมือนเพื่อนๆ พฤติกรรมทางเพศ จากแรงผลักดันของเพื่อน สื่อมวลชน และแม้แต่ผู้ใหญ่ที่อยู่รอบตัวเด็ก อาจทำให้เด็กมีเพศสัมพันธ์โดยที่ยังไม่พร้อม ความรู้สึกครั้งแรกต่อการมีเพศสัมพันธ์ มีความหมาย ต่อการพัฒนาทางเพศในระยะต่อมา เด็กที่รู้สึกเจ็บปวด ผิดหวัง เสียใจ และอับอายต่อเรื่องนี้ครั้งแรก จะเป็นต้นเหตุของพฤติกรรมทางเพศ ที่ผิดปกติภายหลังได้
  3. การเข้าถึงบริการคุมกำเนิด มักจะเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยรุ่น ที่มีเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่มักไม่ได้เตรียมตัวในการป้องกัน โดยวัยรุ่นมักจะอายที่จะใช้ เพิกเฉยที่จะเรียนรูวิธีใช้แต่ละวิธี และมักเป็นวิธีที่ไม่ค่อยได้ผล หรือมีความรู้สึกว่าการใช้วิธีคุมกำเนิด มีผลเสียต่อความสนุกทางเพศ หรือมักจะแล้วแต่ว่าคู่ของตนจะยอมใช้หรือไม่ จึงทำให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการขึ้น
  4. การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ติดยาเสพติด การชอบเสี่ยงภัย ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นอุปนิสัยของวัยรุ่นที่ต้องการเป็นที่ยอมรับของเพื่อน และชอบทดลองเสี่ยงภัย ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้น วัยรุ่นที่ไม่มีสัมพันธภาพอันดีกับพ่อแม่ จะยิ่งกังวลแก้ไขปัญหาในทางที่ไม่ถูก อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
  5. ปัญหาชีวิต เกิดจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เช่น การสูญเสียบุคคลสำคัญ เข้ากับเพื่อนฝูงไม่ได้ ปัญหาการเรียนและปัญหาครอบครัว
  6. ปัญหาทางเพศ เนื่องจากวัยรุ่นเป็นวัย ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลง ของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งภายนอก ภายใน เพื่อพร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้ วัยรุ่นเริ่มมีอารมณ์รักใคร่ ดังนั้นหากเขาเหล่านี้ ไม่ได้รับการเตรียมตัวที่ดีในเรื่องเพศ อาจทำให้เด็ก มีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ถูกต้องได้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเนื่องระยะยาว ผลของการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ อาจเกิดขึ้นโดยเหตุผลักดันทางสรีรวิทยา ประกอบกับการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือถูกข่มขืน กระทำชำเรา
คำแนะนำปรึกษาเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ
บิดามารดาส่วนใหญ่เมื่อลูกโตขึ้น และเข้าวัยรุ่น ก็ไม่ค่อยได้พามาพบแพทย์ เพราะเด็กส่วนใหญ่ไม่มีการเจ็บป่วยเป็นโรคที่มีลักษณะเฉพาะในช่วงวัยรุ่น โรคหลายโรค เช่น โรคทางกรรมพันธุ์ ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด ฯลฯ ก็ได้ตรวจพบมาตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ แล้ว แต่จริงๆ มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในตัวของวัยรุ่นที่เป็นปัญหามีผลกระทบต่อภาวะทาง ด้านอารมณ์ จิตใจ และพฤติกรรมของเด็กเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน หรือตรวจพบได้เหมือนโรคทั่วๆ ไป บิดามารดาส่วนใหญ่จะพาเด็กวัยรุ่นมาพบแพทย์เมื่อมีการเจ็บป่วยทางด้านร่าง กายและจิตใจที่รุนแรงเท่านั้น ซึ่งการให้การดูแลรักษาทำได้ดีในระดับหนึ่งหรือได้ผลไม่เต็มที่ หรือบางรายจะสายเกินไปไม่สามารถแก้ไขได้ สิ่งที่น่าให้ความสนใจ คือ โรค ความเจ็บป่วย หรือปัญหาของเด็กวัยรุ่นนั้น ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่สามารถป้องกัน และแก้ไขได้ ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ป้องกันแก้ไข และให้การรักษาตั้งแต่แรกๆ ความรุนแรงของปัญหาก็จะลดน้อยลง การมาพบแพทย์เป็นระยะๆ ตั้งแต่ก่อนเข้าวัยรุ่น และระยะวัยรุ่น ซึ่งจะได้ให้คำแนะนำปรึกษาในการสร้างเสริมสุขภาพ และการดูแลรักษาปัญหาทางสุขภาพทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ไม่เพียงแต่ตัวเด็กวัยรุ่นเท่านั้นบิดามารดาเองก็จะได้รับประโยชน์ว่าสมควร มีบทบาทในการดูแลเด็กวัยรุ่นอย่างไร การมาพบแพทย์ไม่เพียงแต่แพทย์จะได้ตรวจร่างกาย ตรวจค้นหาความผิดปกติหรือการเจ็บป่วยเท่านั้น แพทย์จะได้ติดตามดูการเจริญเติบโต และพัฒนาการในด้านต่างๆ ของเด็กพร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการ และรูปแบบในการดำเนินชีวิตของเด็กวัยรุ่นอย่างเหมาะสม เช่น การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การออกกำลังกาย การกินอาหารอย่างเหมาะสม การป้องกันหลีกเลี่ยงสารเสพติด การป้องกันอุบัติเหตุต่างๆ แพทย์จะช่วยประเมินเกี่ยวกับปัญหาทางด้านพฤติกรรม และอารมณ์ที่พบได้บ่อยในเด็กวัยรุ่น ปัญหาที่มีผลต่อการเรียน
นอกจากนี้แพทย์อาจจะให้คำแนะนำ และตรวจกรองเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ที่แพทย์คาดว่าอาจจะเป็นปัญหาต่อเด็กวัยรุ่น รวมถึงการแนะนำ และการให้วัคซีนป้องกัน โรคที่เด็กวัยรุ่นควรจะได้รับการกระตุ้นหรือได้รับเพิ่มเติมต่อเนื่องจากที่ เคยได้รับเมื่อตอนช่วงอายุ 0-6 ปี การที่บิดามารดานำบุตรหลานของท่านมาพบแพทย์ถึงแม้ว่าบุตรหลานของท่านเป็น เด็กวัยรุ่นที่สมบูรณ์แล้ว แข็งแรง ไม่มีปัญหาทางสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ ก็จะเป็นการช่วยสร้างเสริมศักยภาพ และคุณภาพชีวิตของเด็กวัยรุ่นที่ดีอยู่เดิม ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นไปเต็มตามศักยภาพที่เขามีอยู่ เพื่อที่จะก้าวต่อไปเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ โรคหรือพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องหลายอย่างในเด็กวัยรุ่นจะมีผลกระทบต่อสุขภาพใน วัยผู้ใหญ่และวัยชรา
การให้การดูแลสุขภาพของเด็กวัย รุ่นจึงถือเป็นสิ่งสำคัญ และมีประโยชน์ ผู้ปกครองซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิด และมีบทบาทต่อเด็กวัยรุ่นควรได้ตระหนัก และเห็นความสำคัญของการนำบุตรหลานของท่านมาพบปะพูดคุยกับแพทย์ในช่วงอายุ ต่างๆ ดังตารางการให้การบริการ และสร้างเสริมสุขภาพแก่เด็กวัยรุ่น เด็กวัยรุ่นทุกคนอยากเป็นคนดี เป็นที่รักของทุกๆ คน แต่โอกาสของเด็กวัยรุ่นแต่ละคนไม่เท่ากัน หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำไปนั้น เขาไม่ได้ตั้งใจ เขาไม่รู้จริงๆ เขาขาดประสบการณ์ เขาขาดคนชี้แนะ การที่สังคมไม่ดีหล่อหลอมเขา แต่เมื่อเขารู้มันมักจะสายไปเสียแล้ว เขาไม่มีโอกาสกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นใหม่ได้ เขามีแต่ที่จะต้องรับผลจากที่เขาประพฤติตัวมาในตอนวัยรุ่นที่ผ่านมาอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ จงให้โอกาสเขาเหล่านั้น บางสิ่งบางอย่างที่เรามองว่าเป็นปัญหา แต่สำหรับวัยรุ่นแล้ว มันไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา เพราะเขาไม่รู้ไม่เข้าใจชีวิตจริงๆคืออะไร เพราะเขาคือวัยรุ่น วัยที่จะต้องเรียนรู้บทเรียนชีวิตเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราต่างหากที่จะต้องช่วยให้เขาได้มีโอกาส และได้เรียนรู้อย่างถูกต้องเหมาะสม

 ที่มา  http://www.thaiblogonline.com/loveamakmay.blog?PostID=23340